โรคเกาต์ (Gout) เข้าใจอาการ สาเหตุ และการรักษา
โรคเกาต์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากภาวะกรดยูริก (uric acid) ในเลือดสูงติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน อย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้ออื่นๆ ได้ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ซึ่งจะเป็นๆ หายๆ ในระยะแรก โรคเก๊าท์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาการอักเสบจะรุนแรงมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยปวดถี่ขึ้นและนานขึ้นจนอาจกลายเป็น โรคข้ออักเสบเรื้อรัง และ อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น โรคไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และไตวาย
กรดยูริกเปรียบเสมือนของเสียในร่างกายที่เหลือจากการกำจัดเซลล์ที่หมดอายุลง โดยร่างกายของแต่ละคนจะมีกรดยูริกอยู่ประมาณร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มักได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
โรคเกาต์ อาการเป็นอย่างไร?
อาการของโรคเกาต์
ปวดข้อเฉียบพลัน: มักเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว บวม แดง ร้อน และเจ็บปวดอย่างมาก โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้า
ข้อต่ออักเสบเรื้อรัง: หากไม่ได้รับการรักษา อาจมีอาการปวดเรื้อรัง ข้อต่อเสียรูป และเกิดก้อนโทฟัส (tophi) ซึ่งเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง
อาการอื่นๆ: ไข้ต่ำ อ่อนเพลีย
โรคเกาต์มี สาเหตุเกิดจากอะไร?
สาเหตุของโรคเกาต์
ระดับกรดยูริกในเลือดสูง: เกิดจากการผลิตกรดยูริกมากเกินไป หรือไตขับกรดยูริกออกไม่ดีพอ
พันธุกรรม: มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดระดับกรดยูริกในเลือด
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ: อายุ เพศชาย โรคอ้วน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารบางชนิด (เช่น เนื้อแดง อาหารทะเล เครื่องใน) การใช้ยาบางชนิด
โรคเกาต์ รักษาดูแลตัวเองอย่างไร?
การรักษาโรคเกาต์
ยารักษา: แพทย์จะพิจารณาให้ยาเพื่อลดการอักเสบ ลดระดับกรดยูริก และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:
-ควบคุมอาหาร: ลดการบริโภคอาหารที่มีปริมาณพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง อาหารทะเล เครื่องใน
-ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
-ลดน้ำหนัก: หากมีภาวะน้ำหนักเกิน
-ออกกำลังกาย: อย่างสม่ำเสมอ แต่ควรเลือกชนิดที่ไม่กระแทกข้อ
การดูแลข้อต่อ: หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อต่อที่มากเกินไป พักผ่อนให้เพียงพอ
การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์
การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้โรคกำเริบซ้ำบ่อยๆ
สิ่งที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรทำ:
1.ควบคุมอาหาร:
ลดอาหารที่มีพิวรีนสูง: เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด (ปลาป๋อง ปลาซาร์ดีน) ยีสต์
ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์
ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
2.ลดน้ำหนัก: หากมีน้ำหนักเกิน เพราะโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเกาต์
3.ออกกำลังกาย: ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่เลือกชนิดที่ไม่กระแทกข้อ เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
4.พักผ่อนให้เพียงพอ: หลีกเลี่ยงการพักผ่อนน้อยเกินไป
5.รับประทานยาตามแพทย์สั่ง: ควรทานยาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง
6.หลีกเลี่ยงความเครียด: ความเครียดอาจทำให้อาการปวดข้อแย่ลง
7.ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: เพื่อติดตามระดับกรดยูริกในเลือด
ข้อควรระวัง:
-อย่าหยุดยาเอง: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยาเสมอ
-หากมีอาการปวดข้อรุนแรง: ควรรีบพบแพทย์
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศเย็นจัด: อาจทำให้อาการปวดข้อแย่ลง
โรคเกาต์ อาหารที่ควรทาน และ อาหารที่ห้ามทานมีอะไรบ้าง?
อาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรรับประทาน
-ผักใบเขียว ผักขม คะน้า บรอกโคลี
-ผลไม้ กล้วย แตงโม ส้ม
-ธัญพืช ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต
-นมและผลิตภัณฑ์จากนม นมไขมันต่ำ โยเกิร์ต
-ปลา ปลาทูน่า ปลาแซลมอน (ควรปรุงสุก)
อาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรรับประทาน ควรหลีกเลี่ยง
สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ การควบคุมอาหารเป็นส่วนสำคัญในการจัดการโรค เพราะอาหารบางชนิดมีสารพิวรีนสูง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกรดยูริก หากร่างกายมีกรดยูริกสะสมมากเกินไป จะทำให้เกิดผลึกเกาะตามข้อต่อและก่อให้เกิดอาการปวด
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณ:
-เครื่องในสัตว์: ตับ ไต หัวใจ สมอง
-เนื้อแดง: เนื้อวัว เนื้อหมู
-อาหารทะเลบางชนิด: ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาป๋อง หอย ปู กุ้ง
-อาหารที่มีพิวรีนสูง: หน่อไม้ ยอดผักต่างๆ ถั่วแห้งบางชนิด (ถั่วแดง ถั่วดำ) เห็ดบางชนิด
-เครืองดื่มแอลกอฮอล์: ทุกชนิด โดยเฉพาะเบียร์
-อาหารแปรรูป: ไส้กรอก แฮม เบคอน
-อาหารที่มีน้ำตาลสูง: น้ำอัดลม ของหวาน
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง:
อาหารเหล่านี้มีสารพิวรีนสูง: เมื่อร่างกายย่อยสลายสารพิวรีน จะเกิดกรดยูริก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาต์
แอลกอฮอล์: ทำให้ไตขับกรดยูริกออกได้น้อยลง ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น
คำแนะนำเพิ่ม:
ปรึกษาแพทย์หรือโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
อ่านฉลากอาหาร: ตรวจสอบปริมาณโซเดียมและพิวรีนในอาหาร
ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
ปรุงอาหารด้วยวิธีต้ม นึ่ง ย่าง: หลีกเลี่ยงการทอดหรือผัด
การควบคุมอาหารร่วมกับการใช้ยาตามแพทย์สั่ง และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคเกาต์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
โรคเกาต์รักษาหายขาดได้ไหม?
โรคเกาต์เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมและบรรเทาอาการได้ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทำไมถึงรักษาไม่หายขาด?
พันธุกรรม: โรคเกาต์มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
การผลิตกรดยูริก: ร่างกายของเรายังคงผลิตกรดยูริกอยู่ตลอดเวลา แม้จะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม
แต่ไม่ต้องกังวลใจไปครับ เพราะโรคเกาต์สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น
การใช้ยา: แพทย์จะจ่ายยาเพื่อลดระดับกรดยูริกในเลือด และลดการอักเสบของข้อ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการลดน้ำหนัก
การดูแลสุขภาพ: ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อติดตามระดับกรดยูริกในเลือด
การรักษาโรคเกาต์อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง จะช่วยให้
อาการปวดลดลง: คุณจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น
ป้องกันข้อเสียหาย: ช่วยชะลอการเสื่อมของข้อต่อ
ลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน: เช่น โรคไต
สิ่งสำคัญคือ การปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ
สรุปแล้ว โรคเกาต์รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมและบรรเทาอาการได้ ทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขครับ
โรคเกาต์ กับ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ต่างกันอย่างไร
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกาต์เป็นโรคที่ส่งผลต่อข้อต่อ ทำให้หลายคนสับสนว่าเป็นโรคเดียวกัน แต่ทั้งสองโรคมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนค่ะ
โรคเกาต์
สาเหตุ: เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในข้อต่อมากเกินไป ทำให้เกิดผลึกมาเกาะ
อาการ: ปวดข้ออย่างรุนแรง บวม แดง ร้อน มักเกิดขึ้นกะทันหัน
ส่วนที่เป็น: มักเป็นที่ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อศอก
อื่นๆ: อาการปวดมักจะดีขึ้นเองได้ในที่สุด แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา
โรครูมาตอยด์
สาเหตุ: เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ทำลายข้อต่อตัวเอง
อาการ: ปวดข้อหลายข้อพร้อมกัน ข้อบวม แดง ร้อน ข้อแข็ง โดยเฉพาะตอนเช้า อาการปวดเรื้อรัง
ส่วนที่เป็น: มักเป็นที่ข้อเล็กๆ ก่อน เช่น ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ข้อเท้า
อื่นๆ: อาการอาจลุกลามไปอวัยวะอื่น เช่น ปอด หัวใจ
สิ่งที่ควรทำเมื่อสงสัยว่าอาการที่เป็นอยู่นั้น คือ โรคเกาต์ หรือ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
* สังเกตอาการ: ถ้ามีอาการปวดข้อ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
* ปรึกษาแพทย์: แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และเอกซเรย์